Mitr Phol Group Sustainability

Edit Template

ผู้มีส่วนได้เสียหลัก : ผู้ถือหุ้น/ ชุมชน/ ลูกค้าและผู้บริโภค/ ภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคม

เพราะในการดำเนินธุรกิจต้องพึ่งพาธรรมชาติและอยู่ร่วมกับสังคม ดังนั้นการดำเนินกิจการของบริษัทจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อให้บริษัทสามารถที่จะดำเนินธุรกิจไปได้อย่างมั่นคงควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีร่วมกับคนในสังคม การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมรวมถึงการบริหารน้ำใช้อย่างมีความรับผิดชอบจึงเป็นสิ่งที่กลุ่มมิตรผลยึดมั่นปฏิบัติเสมอมา

เป้าหมายและผลการดำเนินงานของปี 2567

เป้าหมาย
ผลการดำเนินงาน
การร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมในระดับรุนแรงมาก*
ไม่มีข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมในระดับรุนแรงมาก*
ไม่มีข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมในระดับรุนแรงมาก*
การดึงน้ำมาใช้ (Water Withdrawal)
ลดลงร้อยละ 5
เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.7**

*ระดับรุนแรงมาก หมายถึง มีการต่อต้านจากสังคมอย่างรุนแรงและลุกลามเป็นกลุ่มใหญ่ จนอาจต้องเข้าสู่กระบวนการวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือมีหนังสือสั่งให้หยุดการดำเนินการตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535
**ปริมาณการดึงน้ำมาใช้ในปี พ.ศ.2567 เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการขยายขอบเขตการเก็บข้อมูลให้ครอบคลุมบริษัทใหม่

แนวทางการบริหารจัดการ

คณะกรรมการบริษัทได้กำหนดให้มีนโยบายความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม* ที่ชัดเจนและสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็น เพื่อนำไปสู่การจัดทำมาตรการป้องกัน เฝ้าระวัง แก้ไข และการตรวจสอบระบบต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยได้กำหนดให้มีหน่วยงานที่ดูแลงานด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรงในทุกโรงงานเพื่อรับผิดชอบให้การขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ และทำหน้าที่ให้ความรู้ความเข้าใจพร้อมทั้งรณรงค์การอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งต่อพนักงาน ชาวไร่ และชุมชน รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้มีการประชุมร่วมกับฝ่ายบริหารระดับสูงของธุรกิจน้ำตาลและไฟฟ้าภายใต้น้ำตาล อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อติดตาม ขอความเห็นและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกได้แจ้งข้อมูล ให้ข้อเสนอแนะหรือร้องเรียนเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้ในหลากหลายช่องทาง ส่วนในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จะจัดให้มีการประชุมร่วมกับฝ่ายบริหารประจำโรงงานในรูปแบบการประชุมคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.) ทั้งมิติความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งเช่นกัน และมีการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคีสำหรับโรงงานขนาดใหญ่และคณะกรรมการร่วมกับชุมชนสำหรับโรงไฟฟ้าขนาดไม่เกิน 9.9 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 คณะประกอบด้วยตัวแทนจากภาคส่วนโรงงาน หน่วยงานภาครัฐและชุมชน เพื่อให้มีการร่วมแสดงความคิดเห็น เสนอแนะ และนำมาพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อันจะช่วยให้การพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัทมีการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล ISO14001 ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม การวางแผนเพื่อสนองนโยบาย การทำความเข้าใจองค์กรและบริบทขององค์กรร่วมถึงผู้มีส่วนได้เสีย การประเมินความเสี่ยงและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนต่างๆเพื่อการนำไปปฏิบัติและการดำเนินการ การตรวจสอบและการปฏิบัติแก้ไข พร้อมทั้งการทบทวนและปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้กำหนดแนวทางการระบุปัญหาและประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมดังนี้

ฝ่ายบริหาร
กำหนดนโยบาย สนับสนุนทรัพยากร และให้อำนาจในการตัดสินใจแก่ตัวแทนฝ่ายบริหารด้านสิ่งแวดล้อม (EMR : Environmental management representative) ประกาศแต่งตั้งคณะจัดการสิ่งแวดล้อมโดยมี EMR เป็นฟันเฟือนหลักในการขับเคลื่อนระบบ
วิศวกร/หัวหน้าแผนก/ผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่าย
ระบุประเด็นปัญหาและประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อหาผลกระทบในระดับต่างๆ และพิจารณาจัดการแก้ไข เพื่อลดปัญหาและผลกระทบ ซึ่งครอบคลุมลักษณะปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ดังนี้
  • การใช้วัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติ
  • การใช้พลังงาน
  • การปล่อยของเสียสู่อากาศ
  • การปล่อยของเสียสู่น้ำ
  • การปล่อยของเสียสู่ดิน
  • การปลดปล่อยพลังงาน
  • การก่อให้เกิดของเสีย
  • การใช้พื้นที่
  • ปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
  • คณะจัดการสิ่งแวดล้อมร่วมกับวิศวกร/หัวหน้าแผนก/ผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่าย
    กำหนดประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีนัยสำคัญ เตรียมวัตถุประสงค์และเป้าหมายสิ่งแวดล้อม และแผนงานสิ่งแวดล้อม เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขป้องกัน โดยขับเคลื่อนผ่านคณะจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบ อนุมัติ ติดตามผลดำเนินการ และรายงานต่อฝ่ายบริหาร เพื่อเป็นการทบทวนปรับปรุงต่อไป
    หัวหน้าแผนก/ผู้จัดการฝ่าย/คณะทำงานฯ/ผู้รับผิดชอบของหน่วยงาน
    ติดตามผลและประเมินประสิทธิภาพที่เกี่ยวข้องทบทวนและปรับปรุงลักษณะปัญหาสิ่งแวดล้อม และนำเสนอต่อฝ่ายบริหารอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

    ซึ่งจากการปฏิบัติตามแนวทางข้างต้น บริษัทสามารถบ่งชี้ผู้มีส่วนได้เสีย วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันมลพิษและรักษาสิ่งแวดล้อม เพิ่มสมรรถนะการจัดการสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดการปฏิบัติตามข้อบังคับทางกฎหมายและข้อกำหนดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มความโปร่งใสในการทำงานและสร้างความเชื่อมั่นที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้เสีย

    การบริหารจัดการน้ำอุตสาหกรรม

    น้ำดิบ-น้ำใช้

    มิตรผลมีการวิเคราะห์ผลกระทบ (Impact) ของการดำเนินธุรกิจที่มีต่อน้ำ และความพึ่งพา (Dependency) น้ำของกิจกรรมทางธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำผ่านการใช้เครื่องมือ ENCORE (ENsemble for CO-Re-Analysis) เช่น การประเมินผลกระทบของการใช้น้ำ (Water use) ของบริษัท เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการประเมินความเสี่ยงด้านน้ำผ่านเครื่องมือ World Wildlife Fund’s Biodiversity Risk Filter (WWF BRF) เช่น การประเมินด้านความพอเพียงของน้ำ (Water Availability) การประเมินเรื่องคุณภาพของน้ำ (Water Quality) เป็นต้น โดยวัตถุประสงค์ของการประเมินเหล่านี้ เพื่อให้บริษัทสามารถเชื่อมโยงและเข้าใจว่าธุรกิจของบริษัทมีการพึ่งพาและส่งผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำอย่างไร รวมถึงความเสื่อมโทรมของทรัพยากรน้ำจะสามารถสร้างความเสี่ยงแก่ธุรกิจได้อย่างไร เพื่อให้บริษัทสามารถวางแผนและบริหารจัดการอย่างเหมาะสมต่อไป อีกทั้งบริษัทยังมีการศึกษาถึงผลกระทบของเอลนีโญและลานีญาที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคการเกษตรอย่างอ้อย ผ่านการพิจารณาจากผลพยากรณ์หยาดน้ำฟ้า (Precipitation) และปริมาณน้ำฝน (Rainfall) ของกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อคาดการณ์ถึงความพอเพียงของปริมาณน้ำในไร่และสามารถบริหารจัดการน้ำในไร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นอ้อย (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทการบริหารจัดการไร่และน้ำในไร่)

    น้ำเสีย

    ในกระบวนการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะพบว่ามีน้ำที่ผ่านการใช้งานและมีการปนเปื้อนออกมาจากระบบหรือการใช้งานภายในโรงงาน ซึ่งจะถูกเรียกโดยรวมว่า “น้ำเสีย” ซึ่งบริษัทมีการกำหนดให้มีกระบวนการในการบำบัดน้ำเสียด้วยระบบต่างๆ ตามความเหมาะสมของคุณภาพน้ำเสียและพื้นที่ตั้งของโรงงาน เช่นระบบบำบัดน้ำเสียแบบบ่อผึ่ง (Oxidation pond) และระบบบำบัดแบบตะกอนเร่ง (Activated sludge) โดยน้ำทิ้งจะต้องมีคุณภาพเป็นไปตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องกำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากโรงงาน พ.ศ. 2560 และประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2539) เรื่องกำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากแหล่งกำเนิดประเภทโรงงานอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรม

    ในปี พ.ศ.2567 มิตรผลได้วางแผนพัฒนาการบริหารจัดการน้ำเสียในพื้นที่โรงงานน้ำตาลมิตรภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เป็นแห่งที่ 2 เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำเสียให้สามารถนำน้ำเสียจากกลับมาใช้ได้ใหม่ โดยการปรับเปลี่ยนระบบบำบัดน้ำเสียของโรงงานน้ำตาลมิตรภูเขียวเป็นระบบแบบตะกอนเร่ง (Activated sludge) โดยระบบบำบัดน้ำเสียดังกล่าวเป็นวิธีการบำบัดทางชีววิทยาที่พึงพาแบคทีเรียที่ใช้ออกซิเจน(Aerobic Bacteria) เป็นตัวหลักในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย โดยภายหลังจากการเปลี่ยนมาใช้ระบบบำบัดน้ำเสียดังกล่าวคาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถนำน้ำหลังการบำบัดไปใช้ในไร่ของบริษัทประมาณ 2,000 ลบ.ม./วัน และวนกลับมาใช้ในอุทยานประมาณ 3,500 ลบ.ม./วัน

    เพื่อให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มิตรผลจึงได้นำหลัก 4Rs เข้ามาประยุกต์ใช้ ซึ่งประกอบด้วย 1) การจัดหาแหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดินเพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรอง (Resource) 2) ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิต (Reduce) 3) การหมุนเวียนน้ำที่เกิดจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) 4) การนำน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดกลับมาใช้ใหม่ภายในโรงงาน (Recycle) ซึ่งหลักการ 4Rs จะช่วยลดผลกระทบเรื่องการบริหารจัดการน้ำใช้ในการดำเนินธุรกิจของมิตรผล โดยมีรายละเอียดแนวทางการบริหารจัดการดังนี้

    การบริหารจัดการคุณภาพอากาศ

    บริษัทกำหนดให้มีมาตรการจัดการคุณภาพอากาศเพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศตั้งแต่แหล่งกำเนิดไปจนถึงแหล่งแพร่กระจาย เพื่อป้องกันและลดผลกระทบในด้านคุณภาพอากาศที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ชุมชนโดยรอบ ซึ่งรายละเอียดแนวทางในการจัดการคุณภาพอากาศของแต่ละโรงงานจะมีความแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสม โดยมาตรการต่างๆ สามารถแบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลักดังนี้

    • การเฝ้าระวังคุณภาพอากาศ การบริหารจัดการคุณภาพอากาศแบบเชิงรุกตามแนวคิด “รู้ก่อนชุมชน จัดการก่อนถึงชุมชน” เพื่อลดผลกระทบด้านคุณภาพอากาศที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชน นำร่องใน 2 พื้นที่โรงงาน ได้แก่ โรงงานน้ำตาล มิตรผลด่านช้าง (จ.สุพรรณบุรี) และโรงงานน้ำตาลสิงห์บุรี (จ.สิงห์บุรี) ด้วยการพัฒนาระบบ AIRMODEL และ IoT sensors สำหรับติดตามทิศทางลม ความเร็วลม และตรวจวัดคุณภาพในบรรยากาศในพื้นที่รอบโรงงาน เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เป็นต้น โดยในอีก 9 พื้นที่โรงงาน ซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานน้ำตาลมิตรผลด่านช้าง โรงงานน้ำตาลสิงห์บุรี โรงงานน้ำตาลมิตรภูเวียง โรงงานน้ำตาลมิตรภูเขียว โรงงานน้ำตาลมิตรผลเกษตรสมบูรณ์ โรงงานน้ำตาลมิตรภูหลวง โรงงานน้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ โรงงานน้ำตาลมิตรอำนาจเจริญ และบริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ได้มีการติดตั้งการแจ้งข้อมูลพยากรณ์ความเร็วลม-ทิศทางลมล่วงหน้าตามระยะเวลาที่กำหนด พร้อมแจ้งมาตรการลดผลกระทบให้สอดคล้องกับข้อมูลพยากรณ์อากาศ นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนที่จะนำข้อมูลการพยาการณ์มาใช้ในการวางแผนการดำเนินงานกิจกรรมที่เป็นต้นกำเนิดมลพิษทั้งแบบล่วงหน้าและรายวัน เช่น การเปิดระบบสเปรย์ดักฝุ่นให้ตรงตามจุดที่จะได้รับผลกระทบจากมลพิษ การยกเลิกกิจกรรมในช่วงเวลาที่จะก่อให้เกิดมลพิษเป็นพิเศษ เป็นต้น ตลอดจนการนำข้อมูลอุตุนิยมวิทยามาใช้ในเชิงสถิติเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนทิศทางลมในแต่ช่วงเดือน มาใช้ประกอบการพิจารณาวางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันและลดผลกระทบของกิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษอย่างเหมาะสม นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะจัดทำระบบแจ้งเตือนค่าฝุ่นละอองแบบทันที หากพบว่ามีระดับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือมีการเปลี่ยนทิศทางลมที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชน รวมไปถึงการติตตั้งอุปกรณ์สั่งการอัตโนมัติที่สามารถป้องกันและจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษได้อย่างทันท่วงที่
    • การควบคุมและป้องกันการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด การปรับปรุงและพัฒนามาตรการเพื่อบริหารจัดการคุณภาพอากาศจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญและต้องดำเนินการอย่าง
      ต่อเนื่องสม่ำเสมอ เช่น
      • การปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์และการควบคุมกระบวนการเผาไหม้เพื่อลดการเกิดมลพิษจากขั้นตอนการผลิต ด้วยการควบคุมการใช้เชื้อเพลิงและปัจจัยการเผาไหม้ของหม้อไอน้ำในโรงไฟฟ้าชีวมวลให้เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์
      • ควบคุมฝุ่นจากลานกองชานอ้อย-ใบอ้อย ลานกองไม้ปีก ซึ่งเป็นวัตถุดิบ ด้วยการติดตั้งแนวตาข่าย สเปรย์น้ำรอบกอง สร้างแนวกำแพงดินและแนวต้นไม้กันฝุ่น เป็นต้น
      • ติดตั้งระบบบำบัดมลพิษทางอากาศ เพื่อควบคุมฝุ่นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าชีวมวล ด้วยการติดตั้งระบบบำบัดอากาศเสียแบบเปียก (Wet scrubber) และระบบควบคุมฝุ่นด้วยไฟฟ้าสถิตย์ (Electrostatic precipitator)
      • ติดตั้งและปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษทางอากาศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดฝุ่นขนาดใหญ่ ด้วยการติดตั้งระบบมัลติไซโคลน (Multi cyclone) และระบบ Wet electrostatic precipitators ที่มีอยู่เดิมของโรงไฟฟ้าชีวมวล มิตรผลไบโอเพาเวอร์ กาฬสินธุ์ และติดตั้งในกระบวนผลิตวัสดุทดแทนไม้ภายในอาคารผลิต และรถดูดฝุ่นวิ่งรอบบริเวณลานกองไม้ปีก เพื่อนำกลับไปเป็นเชื้อเพลิงให้พลังงานในกระบวนการผลิตต่อไป
      • ควบคุมฝุ่นจากการสัญจรในช่วงฤดูหีบอ้อย โดยจัดให้มีรถน้ำพรมถนนทั้งในโรงงานและในชุมชนรอบโรงงาน
        รวมถึงกำหนดเส้นทางในการขนส่งอ้อย อีกทั้งยังมีการลงพื้นที่เพื่อทำการสำรวจกับชุมชนโดยตรงเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและวางแผนเพื่อหาแนวทางแก้ไข
      • ควบคุมฝุ่นละอองที่เกิดจากกระบวนการย่อยใบอ้อย โดยใช้เครื่องย่อยใบอ้อยที่มีฝาครอบป้องกันฝุ่น พร้อมพรมน้ำบนใบอ้อยก่อนการย่อย และติดตั้งระบบเก็บฝุ่น (Dust Collector) เพื่อช่วยลดการกระจายตัวของฝุ่นละออง
    • การกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศ
      • การตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ปล่องระบายอากาศอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามคุณภาพให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและเป็นไปตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมีการตรวจวัดค่าความทึบแสงเขม่าควันที่ระบายออกจากปล่องด้วยแผนภูมิเขม่าควันของริงเกิลมานน์ (Ringelmann Smoke Chart) เพื่อใช้ในการ ประเมินระดับมลพิษจากควันที่เกิดจากกิจกรรมของอุตสาหกรรม
      • การวางแผนติดตั้งระบบตรวจวัดการปล่อยมลพิษทางอากาศแบบต่อเนื่อง (CEMS: Continuous Emission Monitoring System) บริเวณปล่องระบายจากโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2568 เพื่อให้โรงงานสามารถควบคุมค่าความเข้มข้นของมลพิษที่ปล่อยออกได้อย่างต่อเนื่อง โดยระบบดังกล่าวยังช่วยบ่งชี้ถึงความสมบูรณ์ของกระบวนการเผาไหม้และประสิทธิภาพของเตาเผาได้อีกด้วย

    การบริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรม

    ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาภาคเกษตรไทยตามแนวคิด ‘เปลี่ยนสิ่งที่ไร้ค่า…ให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า’ หรือ ‘From Waste to Value Creation’ มิตรผลจึงมุ่งพัฒนาธุรกิจด้วยการนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากธุรกิจหนึ่งไปต่อยอดสร้างมูลค่าให้กับอีกธุรกิจหนึ่งอย่างต่อเนื่อง เช่น นำชานอ้อยมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าชีวมวล นำกากน้ำตาลมาต่อยอดเป็นเอทานอล นำกากตะกอนหม้อกรองและน้ำกากส่ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ย เป็นต้น รวมถึงการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-based) เพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์ที่มาจาก Petroleum-based ซึ่งเป็นรูปแบบที่ช่วยลดของเหลือทิ้ง ลดการสร้างผลกระทบต่อห่วงโซ่คุณค่าและช่วยต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ให้กับองค์กรอีกด้วย นอกจากนี้บริษัทมีแนวทางดำเนินการส่งเสริมทั้งทางวิชาการ งานวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ การศึกษาดูงานการบริหารจัดการของเสีย ตลอดจนการดำเนินการทางอ้อมในด้านการเงิน ซึ่งมีการจัดทำราคากลางในการกำจัดกากอุตสาหกรรม เพื่อให้สอดคล้องตามหลักปฏิบัติสากลและเพื่อการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

    มิตรผลมีการกำหนดกลยุทธ์การบริหารจัดการของเสียตามแนวคิดลำดับขั้นของการจัดการของเสีย (Waste hierarchy) ประกอบด้วยการลดของเสียที่ก่อกำเนิด (Avoid/Reduce) การนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) การรีไซเคิล (Recycling) และการนำกลับคืนอื่น ๆ (Recovery)

    กลยุทธ์การบริหารจัดการของเสียตามแนวคิดลำดับขั้นของการจัดการของเสีย (Waste hierarchy)

    เพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดการของเสียของบริษัทให้ดียิ่งขึ้น อุทยานมิตรผลด่านช้าง จึงได้ริเริ่มศึกษาพร้อมเก็บรวบรวมข้อมูลการเกิดของเสียอย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปพัฒนาการทำข้อมูลลักษณะของของเสีย หรือ Waste Profile เป็นฐานข้อมูลของเสียที่จะเป็นประโยชน์ต่อการขยายผลการบริหารจัดการในอนาคต โดยฐานข้อมูลดังกล่าวจะเป็นฐานข้อมูลที่มีความครบถ้วนซึ่งจะประกอบไปด้วย ชนิด ปริมาณ จุดกำเนิด และวิธีการจัดการของเสียแต่ละชนิดตามมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทมีแผนที่จะส่งเสริมให้อุทยานมิตรผลด่านช้างเป็นต้นแบบการรีไซเคิลแบบระบบปิด หรือ Closed-loop Recycling Model ที่เกิดจากความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ เป็นการเชื่อมโยงพันธมิตรในห่วงโซ่คุณค่าเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบการนำของเสียมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดของเสียที่จะนำไปฝังกลบ โดยบริษัทยังมีแผนที่จะทำการรับรองข้อมูลปริมาณของเสียที่นำไปใช้ประโยชน์อื่นแทนการฝังกลบโดยหน่วยงานรับรองอิสระเพื่อติดตามและพัฒนาการบริหารจัดการของเสียให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย

    นอกจากการดำเนินงานตามแนวทางการบริหารจัดการของเสียข้างต้น มิตรผลยังมุ่งมั่นคิดค้นพัฒนาและลงทุนในงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิต อีกทั้งยังเป็นการลดของเสียไปยังหลุมฝังกลบอีกด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนด้านนวัตกรรมและการวิจัย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและลดของเสียอย่างยั่งยืนผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก รายงานความยั่งยืนประจำปี 2567

    แนวทางการพัฒนาบุคลากรในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม

    การจัดอบรมหลักสูตรระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ISO14001 & ISO45001)

    ในปี พ.ศ.2567 มิตรผลได้มีการจัดหลักสูตรระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ISO14001 & ISO45001)
    แก่หน่วยงานเป้าหมายด้วยความมุ่งหวังว่าพนักงานจะสามารถนำองค์ความรู้ทั้งในด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย รวมไปถึงความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมทั้งการจัดการน้ำเสีย การจัดการมลพิษทางอากาศและการจัดการของเสีย มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงานและในชีวิตจริง

    การจัดอบรมการลดของเสีย

    มิตรผลมีการจัดอบรมการลดของเสียให้แก่พนักงานตามระเบียบปฏิบัติงาน (Environmental Procedure) เรื่องการจัดการขยะ วัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และกากอุตสาหกรรม ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามบริบทและสภาพแวดล้อมของโรงงาน อาทิ โรงงานน้ำตาลมิตรภูหลวง จังหวัดเลย ได้มีการจัดอบรมการบริหารจัดการเพื่อลดของเสีย และนำมาปรับใช้ในการจัดการขยะเพื่อช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด ลดการใช้ทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเนื้อหาการอบรมครอบคลุมไปถึงการคัดแยกขยะ ทั้งการจัดการขยะทั่วไป ขยะรีไซเคิลและขยะอันตราย รวมไปถึง “By-product” นำไปเป็นวัสดุปรับปรุงดินในพื้นที่การเกษตร ซึ่งภายหลังจากการอบรมได้มีการนำไปปฏิบัติจริง เช่น โครงการเก็บแยกแลกของซึ่งเป็นการคัดแยกขยะรีไซเคิลเพื่อนำไปขายต่อ การต่อยอดเศษอาหารที่เหลือจากโรงอาหารเพื่อทำเป็นปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพ การรวบรวมกล่อง UHT เพื่อนำไปบริจาคทำเป็นหลังคาเขียว เป็นต้น

    การอบรมสร้างความตระหนักเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มิตรผลได้จัดให้มีการอบรมภายในโรงงานเกี่ยวกับการบริหารน้ำใช้และการบำบัดน้ำทิ้ง ซึ่งครอบคลุมไปถึงมาตรการลดและควบคุมการใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้พนักงานมีความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำและมีการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมอบรมการลดการใช้น้ำในโครงการส่งเสริมเทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำเพื่อลดการใช้น้ำและมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการบรรลุตามเป้าหมายของนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม และแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำของประเทศ 20 ปี (พ.ศ.2560- พ.ศ.2580) โดยมีโรงงานในเครือมิตรผลได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมทั้งหมด 9 โรงงาน คิดเป็น 27.27% จากโรงงานที่เข้าร่วมทั้งหมด ซึ่งบริษัทในเครือที่ได้รับเลือกจะต้องผ่านการเข้าร่วมอบรมการบริหารจัดการน้ำ เพื่อหาแนวทางและมาตรการในเพิ่มศักยภาพในการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งผลจากการเข้าร่วมโครงการมีดังนี้

    เพื่อยกระดับและขยายขอบเขตระบบการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System หรือ EMS) ให้สอดคล้องตามมาตรฐานสากล และเพื่อให้การกำกับดูแลและการบริหารจัดการอยู่ภายใต้นโยบายเดียวกัน มิตรผลจึงได้ตั้งเป้าหมายการจัดทำระบบ Multi-site Certification โดยครอบคลุมการรับรองระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กร (หรือ ISO14001) และระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (หรือ ISO45001) ซึ่งในปี พ.ศ.2567 มิตรผลได้บรรลุการจัดทำระบบ Multi-site Certification เป็นผลสำเร็จภายใต้การบริหารแบบ Single system ของโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวนทั้งสิ้น 13 แห่ง

    นโยบายที่เกี่ยวข้อง

    นโยบายความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม

    Mitr Phol Group Sustainability
    Privacy Overview

    This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.