Mitr Phol Group Sustainability

Edit Template

ผู้มีส่วนได้เสีย : ผู้ถือหุ้น เกษตรกร ลูกค้าและผู้บริโภค ภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคม

กลุ่มมิตรผลมีความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อการดำรงอยู่และความจำเป็นของการปรับตัวขององค์กรให้สามารถรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น การจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ถือเป็นส่วนสำคัญที่ใช้เป็นฐานข้อมูลการกำหนดกลยุทธ์ เป้าหมาย และวางแผนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกลุ่มมิตรผลตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ.2573 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ.2593 โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลุ่มมิตรผลมีแนวทางการดำเนินงานและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซอุปทาน ผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจนการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ เพื่อให้บุคลากรมีความตระหนักในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการตามเป้าหมายองค์กร

เส้นทางเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Pathway)

พ.ศ. 2565 (ปีฐาน)
พ.ศ. 2573
พ.ศ. 2593
เป้าหมาย
จัดทำฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 2 และ 3
ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจาก
  • ขอบเขตที่ 1 และ 2 ลดลงร้อยละ 42 จากปีฐาน
  • ขอบเขตที่ 3 ลดลงร้อยละ 25 จากปีฐาน
  • ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากขอบเขตที่ 1 2 และ 3 ลงร้อยละ 90 จากปีฐาน

    แนวทางการบริหารจัดการ

    การดำเนินงานด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกลุ่มมิตรผล ประกอบด้วย

    การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

    เพื่อวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานให้บรรลุสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ.2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี พ.ศ.2593 ทำให้มิตรผลได้มีการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ที่ครอบคลุมขอบเขตที่ 1 2 และ 3 ของทุกกลุ่มธุรกิจ และให้มีการทวนสอบข้อมูลโดยหน่วยงานภายนอก (Third party verification) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่เปิดเผยมีความถูกต้องและโปร่งใส โดยรายละเอียดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปี พ.ศ.2567 แยกตามขอบเขตได้ ดังนี้

    บัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ประจำปี พ.ศ.2567

    การพัฒนาแพลตฟอร์มจัดเก็บและคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

    ด้านบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืนร่วมกับด้าน Digital Transformation ออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และระบบประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้หน่วยงานในธุรกิจต่างๆ มีเครื่องมือใช้สำหรับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อนำมาใช้ในการจัดทำแผนการและกิจกรรมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

    การจัดเก็บข้อมูลและประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแพลตฟอร์มนี้เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล GHG Protocol โดยการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบดิจิทัลประกอบด้วยรายละเอียดแยกตามประเภทแหล่งกำเนิดธุรกิจและ รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมของที่ดำเนินการธุรกิจอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำใช้ในการวางแผนการดำเนินงานได้

    การสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร

    เพื่อให้พนักงานเข้าใจบทบาทและความสำคัญของการเก็บข้อมูลและมีส่วนร่วมผลักดันและสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืนได้จัดอบรมเพื่อให้ความรู้เรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ทั้งรูปแบบการอบรมออนไลน์ผ่านการจัดอบรมหลักสูตร Reskill – Upskill ความรู้พื้นฐานเรื่องก๊าซเรือนกระจกสำหรับพนักงานระดับปฏิบัติงานขึ้นไป และการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับผู้บริหารและพนักงานที่เกี่ยวข้องในธุรกิจไร่ น้ำตาล เอทานอล พลังงาน ปุ๋ย วัสดุทดแทนไม้ ขนส่งและคลังสินค้า และธุรกิจอื่นๆ ซึ่งเนื้อหาการอบรมครอบคลุมความรู้พื้นฐาน วิธีการเก็บข้อมูลและการระบุแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร การฝึกปฏิบัติการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และการสื่อสารเป้าหมายขององค์กร

    โดยปี พ.ศ.2567 มีการจัดอบรมพนักงานทุกระดับผ่านระบบออนไลน์และการอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่หน่วยงานต่างๆ ครอบคลุมมากกว่า 40 พื้นที่ปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น อีเมลล์ ป้ายประชาสัมพันธ์ และวารสารมิตรสัมพันธ์ เป็นต้น เพื่อให้พนักงานทั่วไปมีความเข้าใจเรื่องก๊าซเรือนกระจกและได้รับทราบเป้าหมายองค์กรร่วมกัน

    การรายงานข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ

    ตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 มิตรผลได้มีการรายงานและเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ หรือ Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) โดยได้รายงานผลการประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) ตลอดจนการประเมินโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

  • สำหรับการประเมินความเสี่ยงทางกายภาพได้มีการวิเคราะห์โดยใช้ฉากทัศน์ด้านสภาพภูมิอากาศ (Scenario) แบบ Shared Socio-Economic Pathways (SSPs) ที่เป็นการคาดการณ์อนาคตของอุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และนโยบายที่แตกต่างกัน

  • ส่วนการประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านได้มีการใช้ฉากทัศน์ด้านสภาพภูมิอากาศ (Scenario) แบบ State Policy Scenario (STEP) ซึ่งเป็นการคาดการณ์ภายใต้นโยบายปัจจุบัน และ Announced Policies Scenario(AP) ที่เป็นการคาดการณ์ความเสี่ยงภายใต้นโยบายที่คาดว่าจะนำมาใช้เพื่อควมคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

    การประเมินความเสี่ยงทั้ง 2 ประเภท คลอบคลุมการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดขึ้นในธุรกิจทั้งหมด และเป็นการประเมินตลอดห่วงโซอุปทาน ซึ่งผลจากการประเมินทำให้เข้าใจถึงความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานบริษัท และสามารถนำไปใช้กำหนดกลยุทธ์และแนวทางการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือหรือลดผลกระทบอย่างเหมาะสมและรอบคอบ อีกทั้งยังสามารถเป็นฐานข้อมูลที่ใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของบริษัทได้

  • การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

    มิตรผลสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรมาอย่างต่อเนื่อง โดยปี พ.ศ.2567 ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างและการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Sourcing and Green Operation) เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยความมุ่งหวังในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยการใช้เทคโนโลยีเพื่อการดำเนินงานดังกล่าวมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

    การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    การดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    การบริหารจัดการไร่อ้อยยั่งยืน

    การลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมเพาะปลูกอ้อยผ่านการบริหารจัดการไร่ที่ครอบคลุมทุกกิจกรรม ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่เพาะปลูก กระบวนการปลูก การบำรุงรักษา และการเก็บเกี่ยว โดยการใช้หลักการของมิตรผลโมเดิร์นฟาร์ม (Mitr Phol ModernFarm) ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้นวัตกรรมที่รักษาความสมบูรณ์ของดินและต้นอ้อย เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วก่อนการปลูกอ้อย การตัดอ้อยสดและทิ้งใบอ้อยเพื่อคลุมดิน การเพาะพันธุ์ศัตรูธรรมชาติ (Natural Enemies) เพื่อควบคุมโรคและแมลงของอ้อย เป็นต้น แนวทางดังกล่าวยังช่วยบริหารต้นทุน เพิ่มประสิทธิผล สร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกร ลดการสิ้นเปลืองการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการเกษตร (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทการบริหารจัดการไร่และน้ำในไร่) นอกจากนี้ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมมิตรผล (Innovation & Research Center: MPIR) ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรในเครือมิตรผลยังสนับสนุนการทำวิจัยทางการเกษตรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกอย่างสม่ำเสมอ เช่น การวิจัยเปรียบเทียบระหว่างแปลงที่มีการจัดการแบบเดิม (Conventional Practices: CP) กับแปลงที่มีการจัดการที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) เพื่อแสวงหาแนวทางในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการพัฒนาชีวภัณฑ์ (Biopesticide) เพื่อควบคุมแมลงศัตรูอ้อย เป็นต้น

    การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน

    มิตรผลได้มีการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต พร้อมทั้งลดการสูญเสียพลังงานเนื่องจากความหลากหลายของประเภทธุรกิจ มิตรผลจึงมีแนวทางและวิธีการลดการใช้พลังงานที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับแต่ละกระบวนการผลิต เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้พลังงาน และสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนด้านพลังงาน เกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพและอนุรักษ์ให้เกิดการใช้พลังงานได้แก่ การนำความร้อนส่วนเกินกลับมาใช้ในกระบวนการผลิตอีกครั้ง การหุ้มฉนวนหม้อเคี่ยวเพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงาน การปรับเปลี่ยนหรือบำรุงรักษาอุปกรณ์เก่าเพื่อลดการสูญเสียพลังงานความร้อนในระบบ เป็นต้น (รายละเอียดของกิจกรรมดังกล่าวสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทการบริหารจัดการพลังงาน)

    การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการคาร์บอนต่ำ

    ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองด้านการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

    ด้วยความสำคัญของการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ มิตรผลจึงได้ผลักดันผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำทั้งน้ำตาลและผลิตภัณฑ์อื่นๆ พร้อมทั้งดำเนินการขอขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ Thailand Greenhouse Gas Management Organization (TGO) ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการขอขึ้นทะเบียนรับรองตามรายละเอียดดังนี้

    คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์

    ฉลากที่แสดงว่าตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ ตั้งแต่ขั้นตอนการได้มาซึ่งวัตถุดิบกระบวนการผลิต การกระจายสินค้า การใช้งาน และการจัดการของเสียหลังหมดอายุการใช้งาน

    ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจำนวนทั้งหมด 41 ผลิตภัณฑ์

    เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ น้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลอ้อยธรรมชาติ น้ำเชื่อม น้ำเชื่อมอินเวอร์สวีท น้ำเชื่อมซูโครสสวีท น้ำตาลกรวด น้ำตาลกรวดผลึกใส น้ำตาลเคลือบคาราเมล เอทานอลและผลิตภัณฑ์ยีสต์อาหารเสริมสำหรับสัตว์

    ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์

    ฉลากที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด

    ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจำนวนทั้งหมด 8 ผลิตภัณฑ์

    เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ น้ำตาลทรายดิบ และน้ำตาลอ้อยธรรมชาติ

    คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์เศรษฐกิจหมุนเวียน

    ฉลากที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์มีการผลิตตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมีการผลิตมาจากการหมุนเวียนทรัพยากร อีกทั้งมีการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวทางที่ อบก. รับรองด้วย

    ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจำนวนทั้งหมด 3 ผลิตภัณฑ์

    โดยเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอทานอล และยีสต์อาหารเสริมสัตว์

    โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย

    เป็นโครงการที่ส่งเสริมให้องค์กรมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศ และสามารถนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เรียกว่าคาร์บอนเครดิตไปซื้อขายได้ โดยมิตรผลได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 จนถึงปัจจุบัน

    ได้รับการรับรอง จำนวน 9 โครงการ
    ในประเภทพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานที่ใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลและได้คาร์บอนเครดิต จำนวนประมาณ 900,000 tCO2e/ปี

    ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน

    ใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน โดยรับรองสิทธิในการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยได้รับการรับรองจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

    ได้รับการรับรอง RECs จำนวนประมาณ 1.3 ล้าน RECs /ปี

    ปุ๋ยสูตรพิเศษ ควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหาร

    อ้อยเป็นพืชที่มีความต้องการธาตุไนโตรเจนในดินตลอดช่วงอายุ เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและเป็นส่วนประกอบของแหล่งพลังงานที่สำคัญของพืช ดังนั้นปุ๋ยเคมีที่มีส่วนประกอบของไนโตรเจนและปุ๋ยยูเรียที่เป็นแหล่งธาตุไนโตรเจนที่ พืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้หมด จะกลับมาสู่ วัฎจักรไนโตรเจนและแปรสภาพเป็นก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ

    ศูนย์นวัตกรรมและวิจัยมิตรผลได้พัฒนาปุ๋ยสูตรพิเศษที่เรียกว่า ‘ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย’ หรือ Controlled Release Fertilizer (CRF) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ยืดระยะเวลาการปลดปล่อยธาตุไนโตรเจน ทำให้อ้อยได้รับสารอาหารที่จำเป็นตลอดระยะเวลาการปลูกการใช้ปุ๋ย CRF เพียงครั้งเดียวในปริมาณ 50 กิโลกรัม สามารถเทียบเท่ากับการใช้ปุ๋ยสูตรปกติถึง 2 กระสอบ (100 กิโลกรัม) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลพืช ลดต้นทุนการซื้อปุ๋ย ลดปัญหาการเติมปุ๋ยเคมีเกินความจำเป็น ลดสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

    PlaneX - CaneX บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    ธุรกิจ Bio-Materials เป็นความตั้งใจของกลุ่มมิตรผลที่ต้องการต่อยอดธุรกิจซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกสลายตัวได้ทางชีวภาพ โดยผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพของบริษัทเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวัสดุทางธรรมชาติ เช่น มันสำปะหลัง และอ้อย เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ลักษณะของผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่น จากการที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ความสามารถสลายตัวได้ทางชีวภาพ ตลอดจนการลดการก่อมลพิษทางธรรมชาติและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ออกสู่ตลาดแล้ว ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 2กลุ่มหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกสลายตัวได้ทางชีวภาพ (Compostable Compound) และบรรจุภัณฑ์อาหารสลายตัวได้ ทางชีวภาพ (Compostable Food Packaging) ภายใต้แบรนด์ “PlaneX” และ “CaneX”

    ผลิตภัณฑ์วัสดุทดแทนไม้ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    บริษัท พาเนล พลัส จำกัด ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งมั่นบริหารจัดการผลิตภัณฑ์วัสดุทดแทนไม้ภายใต้มาตรฐานสากล Forest Stewardship Council (FSC) ที่ครอบคลุมการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลูกต้นยางพาราสำหรับใช้เชิงพาณิชย์ กระบวนการผลิต ไปจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้า การปฏิบัติตามมาตรฐานนี้สร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าว่าได้ใช้ผลิตภัณฑ์วัสดุทดแทนไม้ที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่มาจากการตัดไม้ทำลายป่าตามธรรมชาติหรือการทำลายระบบนิเวศซึ่งเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญและช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กลุ่มไม้เคลือบเมลามีนยังได้รับการรับรอง Singapore Green Labelling Scheme (SGLS) ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมชั้นนำของประเทศสิงคโปร์ ที่รับรองว่าผลิตภัณฑ์มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันที่ไม่ได้รับการรับรอง โดยผ่านการพิจารณาครบทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัด อีกทั้งยังได้รับการรับรอง Greenguard Gold ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองระดับสากลที่พัฒนาโดย GREENGUARD Environmental Institute ที่รับรองว่าผลิตภัณฑ์มีการปล่อยสารเคมีระเหย (VOCs) ในระดับต่ำมาก สำหรับวัสดุก่อสร้างอาคาร และเฟอร์นิเจอร์ อันเป็นการส่งเสริมคุณภาพอากาศภายในอาคารและความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน ทั้งยังสนับสนุนการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

    การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการจากความร่วมมือกับพันธมิตร

    บริการโลจิสติกส์คาร์บอนต่ำ

    บริษัท แฟร์ แอนด์ ฟาสต์ จำกัด หนึ่งธุรกิจของมิตรผลที่ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรด้วยระบบดิจิตอล (Digital Logistics & Supply Chain Solutions) ได้มีการขยายการดำเนินธุรกิจสีเขียวผ่านการให้บริการขนส่งคาร์บอนต่ำด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าและการขนส่งทางรถไฟที่มีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่น้อยกว่าการขนส่งด้วยรถบรรทุก

    ในปี พ.ศ.2567 บริษัทมีโครงการนำร่องการขนส่งด้วยรถหัวลากพลังงานไฟฟ้าสำหรับใช้ขนถ่ายน้ำตาลกระสอบในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยเป็นความร่วมมือกับ บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ที่เป็นบริษัทให้บริการโซลูชั่นพลังงานสะอาดชั้นนำและบริษัท ไทยอีวี จำกัด ผู้นำเข้า จัดจำหน่ายและบำรุงรักษารถพลังงานไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ นอกจากนี้บริษัทได้วางแผนนำร่องการใช้รถบรรทุกหัวลากไฟฟ้าการขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำตาลให้แก่ลูกค้าที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงงาน รวมถึงขนส่งน้ำตาลดิบทางรถไฟแทนการใช้รถบรรทุกที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแสวงหาโอกาสในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจขนส่งด้วยระบบดิจิตอลสีเขียวที่ทั้งลดต้นทุนควบคู่ไปกับการคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

    การสนับสนุนความยั่งยืนผ่านเครื่องมือทางการเงิน
    เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    การใช้เครื่องมือทางการเงินที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนช่วยสนับสนุนการตั้งเป้าหมายและส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพการจัดการความเสี่ยงขององค์กรและการบริหารจัดการองค์กรได้ เพื่อประโยชน์ของธุรกิจด้านลดต้นทุนทางการเงิน ทั้งยังเป็นการสนับสนุนบทบาทของสถาบันการเงินในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งกลุ่มมิตรผลได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อออกเงินกู้และเงินหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง เช่นในปี พ.ศ.2567 มิตรผลร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ในการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินเพื่อประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Sustainability-Linked FX Option) ซึ่งเชื่อมโยงผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของมิตรผลกับการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมีเป้าหมาย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดเงิน ควบคู่ไปกับการใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

    เอกสารที่เกี่ยวข้อง

    Mitr Phol Group Sustainability
    Privacy Overview

    This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.